ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภาวะสมดุลมีดังนี้
1. ความเข้มข้นของสารในภาวะสมดุล
ระบบต่าง ๆ ที่อยู่ในภาวะสมดุลนั้น สารเคมีที่อยู่ทางซ้ายของสมการเคมีทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นของปฏิกิริยาไปข้างหน้า ในเวลาเดียวกันสารที่อยู่ทางขวาของสมการเคมีจะทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นของปฏิกิริยาย้อนกลีบ ฉะนั้นไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงปริมาณของสารชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็ย่อมจะมีผลให้อัตราเร็วของปฏิกิริยาในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ภาวะสมดุลเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ถ้าภาวะสมดุลเป็นดังนี้
ถ้าภาวะสมดุลเป็นดังนี้
H2(g) + I2(g) ↔ 2HI(g)
เมื่อเราเติมสาร H2 ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของปฏิกิริยาไปข้างหน้าลงไป อัตราเร็วของปฏิกิริยาไปข้างหน้าก็จะเพิ่มขึ้นทันที อาจเรียกว่าภาวะสมดุลเลื่อนไปทางขวา ผลก็คือมีสาร HI เพิ่มขึ้น ขณะที่ I2 ลดลง เนื่องจากต้องใช้ไปอีกเพื่อการเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ H2 ที่เติมลงไปนั้นก็จะถูกกำจัดให้เหลือน้อยลง แต่ก็ยังเหบืออยู่มากกว่าก่อนเติม แล้วเข้าสู่ภาวะสมดุลใหม่อีกครั้งหนึ่ง (final equilibrium ) แต่ไม่ใช้สมดุลเดิม (initial equilibrium ) ดังกราฟ
2. ผลของความดันที่มีต่อภาวะสมดุลของก๊าซ
ในกรณีที่เป็นภาวะสมดุลของก๊าซนั้น ถ้าเราพิจารณาสมบัติของก๊าซตามทฤษฎีจลน์ของก๊าซ เราก็จะทราบว่าโมเลกุลของก๊าซอยู่ห่างกันมีที่ว่างมาก ถ้าก๊าซมีจำนวนโมลคงที่ (มวลคงที่ จำนวนโมเลกุลคงที่) การเพิ่มหรือลดลงของปริมาตรของก๊าซก็จะมีผลให้ระยะห่างระหว่างโมเลกุลของก๊าซเปลี่ยนไป การที่ปริมาตรของก๊าซเปลี่ยนไปในขณะที่มวลของก๊าซ หรือจำนวนโมเลกุลของก๊าซคงที่ จึงมีผลให้ความหนาแน่นของก๊าซเปลี่ยนไปด้วย จะเรียกว่าความเข้มข้นเปลี่ยนไปก็ได้
การเพิ่มความดันโดยลดปริมาตรของก๊าซ จึงมีผลให้ความหนาแน่นของก๊าซเพิ่มขึ้น ซึ่งก็หมายถึงทำให้ความเข้มข้นในหน่วยโมล/ลิตรเพิ่มขึ้นนั่นเอง จึงมีผลให้อัตราเร็วของปฏิกิริยาในภาวะสมดุลเปลี่ยนไป ทำให้ภาวะสมดุลเปลี่ยนไป
ถ้าภาวะสมดุลของก๊าซคือ
การเพิ่มความดันโดยลดปริมาตรของก๊าซ จึงมีผลให้ความหนาแน่นของก๊าซเพิ่มขึ้น ซึ่งก็หมายถึงทำให้ความเข้มข้นในหน่วยโมล/ลิตรเพิ่มขึ้นนั่นเอง จึงมีผลให้อัตราเร็วของปฏิกิริยาในภาวะสมดุลเปลี่ยนไป ทำให้ภาวะสมดุลเปลี่ยนไป
ถ้าภาวะสมดุลของก๊าซคือ
3H2(g) + N2(g) ↔ 2NH3(g) ; ปริมาตร 1 ลิตร
ความเข้มข้นของสาร 3M 1M 2M
ถ้าเพิ่มความดันขึ้นเป็น 2 เท่า ปริมาตรก็จะลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของปริมาตรเดิม (ตามกฎของบอยล์) ทำให้ความเข้มข้นของก๊าซทุกชนิดเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ดังนี้
3H2(g) + N2(g) ↔ 2NH3(g) ; ปริมาตร 1 ลิตร
ความเข้มข้นของสาร 6M 2M 4M
ผลของการเพิ่มความดันโดยการลดปริมาตรลงครึ่งหนึ่งดังกล่าวมานี้ แม้จะทำให้ความเข้มข้นของก๊าซเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทั้งทางซ้ายและทางขวาก็ตาม แต่จำนวนโมลของก๊าซทางซ้ายมากกว่าก๊าซทางขวา จึงมีผลให้ปฏิกิริยาจากซ้ายไปขวาเกิดได้ดีขึ้น หรือเรียกว่าภาวะสมดุลเลื่อนไปทางขวา เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการทำความเข้าใจจึงอาจกล่าวในหลักการโดยสรุปว่า ในภาวะสมดุลต่าง ๆ ของก๊าซ ถ้าจำนวนโมลของก๊าซทางซ้ายและทางขวาเท่ากัน ความดันจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภาวะสมดุลนั้น ๆ เช่น H2(g) + Cl2(g) → 2HCl(g) แต่สำหรับภาวะสมดุลของก๊าซที่มีจำนวนโมลของก๊าซทางซ้ายกับทางขวาไม่เท่ากันแล้ว ความดันจะมีผลต่อภาวะสมดุลนั้น เช่น 3H2(g) + N2(g) ↔ 2NH3(g) ผลของความดันต่อภาวะสมดุลมีหลักการทั่วไปดังนี้
- เมื่อเพิ่มความดันจะมีผลให้ปฏิกิริยาจากด้านที่มีจำนวนโมลของก๊าซมากกว่า ไปทางด้านที่มีจำนวนโมลของก๊าซน้อยกว่าจะเพิ่มขึ้น
(กรณีนี้ถ้าเพิ่มความดันจะได้ NH3 มากขึ้น)
- ถ้าลดความดันจะมมีผลให้ปฏิกิริยาจากด้านที่มีจำนวนโมลของก๊าซน้อยกว่า ไปทางด้านที่มีจำนวนโมลของก๊าซมากกว่าจะเพิ่มขึ้น
(กรณีนี้ถ้าลดความดัน NH3 จะเหลือน้อยลง)
3. ผลของอุณหภูมิที่มีต่อภาวะสมดุล
ในภาวะสมดุลต่าง ๆ ย่อมมีทั้งการเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าและย้อยกลับเกิดขึ้นพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ถ้าด้านหนึ่งเป็นแบบดูดความร้อนอีกด้านหน่ึงก็จะเป็นแบบคายความร้อน ดังรูป
ฉะนั้นไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดอุณหภูมิก็จะมีผลให้ภาวะสมดุลเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสองกรณี คือ ถ้าเพิ่มอุณหภูมิการเปลี่ยนแปลงทางด้านดูดความร้อนจะเกิดได้ดีขึ้น แต่ถ้าลดอุณหภูมิการเปลี่ยนแปลงทางด้านคายความร้อนจะเกิดได้ดีขึ้น
- กรณีนี้ถ้าเพิ่มอุณหภูมิจะได้ C มากขึ้น
- ถ้าลดอุณหภูมิ C จะเหลือน้อยลง
- เมื่อเพิ่มความดันจะมีผลให้ปฏิกิริยาจากด้านที่มีจำนวนโมลของก๊าซมากกว่า ไปทางด้านที่มีจำนวนโมลของก๊าซน้อยกว่าจะเพิ่มขึ้น
(กรณีนี้ถ้าเพิ่มความดันจะได้ NH3 มากขึ้น)
- ถ้าลดความดันจะมมีผลให้ปฏิกิริยาจากด้านที่มีจำนวนโมลของก๊าซน้อยกว่า ไปทางด้านที่มีจำนวนโมลของก๊าซมากกว่าจะเพิ่มขึ้น
(กรณีนี้ถ้าลดความดัน NH3 จะเหลือน้อยลง)
3. ผลของอุณหภูมิที่มีต่อภาวะสมดุล
ในภาวะสมดุลต่าง ๆ ย่อมมีทั้งการเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าและย้อยกลับเกิดขึ้นพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ถ้าด้านหนึ่งเป็นแบบดูดความร้อนอีกด้านหน่ึงก็จะเป็นแบบคายความร้อน ดังรูป
ฉะนั้นไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดอุณหภูมิก็จะมีผลให้ภาวะสมดุลเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสองกรณี คือ ถ้าเพิ่มอุณหภูมิการเปลี่ยนแปลงทางด้านดูดความร้อนจะเกิดได้ดีขึ้น แต่ถ้าลดอุณหภูมิการเปลี่ยนแปลงทางด้านคายความร้อนจะเกิดได้ดีขึ้น
- กรณีนี้ถ้าเพิ่มอุณหภูมิจะได้ C มากขึ้น
- ถ้าลดอุณหภูมิ C จะเหลือน้อยลง
No comments:
Post a Comment